สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

ติวสังคมม.4ให้(อ่าน)ข้อความ : บทที่ 1 มนุษย์กับสังคม

1. มนุษย์กับสังคม

มนุษย์เป็น ***สังคมที่จำเป็นต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เพื่อที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การอยู่ร่วมกัน มีลักษณะเป็นระเบียบแบแผน ที่เรียกว่า วัฒนธรรม

2. ธรรมขาติของมนุษย์

2.1 สิ่งที่มนุษย์มีเหมือนกัน***

2.1.1. ต้องการอาหาร น้ำ

2.1.2. ต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติในการดำรงชีวิต

2.1.3. มีการสร้างสมาชิกใหม่และสมาชิกใหม่มีหน้าตาเหมือนกับผู้ให้กำเนิด

2.2 สิ่งที่ทำให้มนุษย์ต่างจาก***อื่น

2.2.1 มีร่างกายที่ตั้งตรงกับพื้นโลก ทำให้สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว

2.2.2 มีมันสมองขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว ทำให้มนุษย์เฉลียวฉลาดกว่า***อื่น

2.2.3 มีนิ้วหัวแม่มือตรงข้ามกับนิ้วอื่น ไม่ติดกันเป็นแผง สามารถงอและกระดิกได้ จึงหยิบจับของได้สะดวก

2.2.4 มีความต้องการทางเพศไม่จำกัดฤดูกาลต่างจาก***ที่ผสมพันธุ์กันเป็นฤดู

2.2.5 มนุษย์มีระบบประสาทที่ซับซ้อนกว่า***อื่น

3. ลักษณะพิเศษของมนุษย์

3.1 มีความสามารถในการสร้างสัญลักษณ์และใช้ได้ดี สัญลักษณ์ คือ สิ่งที่ใช้แทนสิ่งอื่นเพื่อเป็นการสื่อสารระหว่างกัน แบ่งออกได้เป็น

3.1.1 วัตถุ

3.1.2 การกระทำ เช่น การไหว้ โบกมือ ลูบหัว ตบหลัง

3.1.3 กริยาท่าทาง เช่น ยิ้ม ยักคิ้ว สีหน้า

3.1.4 ภาษา เช่น ภาษาพูด ภาษาเขียน ที่มีความสำคัญในการถ่ายทอดความรู้จากรุ่นหนึ่งไปอีกรุ่นหนึ่ง

หมายเหตุ สัญลักษณ์ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เกิดจากการเรียนรู้ โดยผ่านกระบวนการขัดเกลาทางสังคม โดยสมาชิกเก่าเป็นผู้สอนสมาชิกใหม่ เช่น พ่อ แม่สอนลูก และสัญลักษณ์มีจำนวนมากมีความหมายหลายความหมาย เพราะเป็นระบบที่ซับซ้อนยุ่งยาก มนุษย์เท่านั้นที่สามารถสร้างระบบนี้ได้

4. วัฒนธรรมของมนุษย์

วัฒนธรรม คือ วิถีชีวิตหรือแบบแผนในการดำเนินชีวิตของคนกลุ่มหนึ่งหรือสังคมหนึ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นและมีการสืบต่อกันมานาน เป็นสิ่งที่แสดงถึงความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์ เช่น วัฒนธรรมทางภาษา การแต่งกาย ประเพณี และพิธีกรรมต่างๆ

4.1 วัฒนธรรมวัตถุ วัฒนธรรมที่ประกอบขึ้นด้วยสิ่งที่เป็นวัตถุ เช่น หนังสือ รูปปั้น ภาพวาด เครื่องดนตรี ฯ

4.2 วัฒนธรรมที่ไม่ใช่วัตถุ วัฒนธรรมที่เป็นนามธรรมไม่สามารถจับต้องได้ เช่น อุดมการณ์ ความรู้ ค่านิยม บรรทัดฐานทางสังคม ขนบธรรมเนียมประเพณี ศีลธรรม ความเชื่อ

หมายเหตุ การที่มนุษย์มีวัฒนธรรม ทำให้มนุษย์มีความแตกต่างไปจาก***อื่น เพราะวัฒนธรรมทำให้สังคมมีความเป็นระเบียบ มีชีวิตยืนยาว และสร้างความเจริญก้าวหน้า ซึ่ง***อื่นไม่สามารถทำให้ และยังทำให้มนุษย์แต่ละกลุ่มมีความแตกต่างกัน

5. สังคมมนุษย์

สังคมมนุษย์ (Society) หมายถึง กลุ่มคนขนาดใหญ่ที่อาศัยอยู่ร่วมกันในที่แห่งหนึ่ง จะต้องประกอบด้วยลักษณะสำคัญ 3 ประการ คือ

1. เป็นกลุ่มที่สามารถเลี้ยงดูตนเองได้ มีอิสระในการประกอบอาชีพและสามารถประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้เป็นของตนเองได้

2. มีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตเป็นของตนเอง การอยู่ร่วมกันในสภาพแวดล้อมเดียวกัน ทำให้มีภาษา วิถีชีวิต และความเชื่ออย่างเดียวกัน พัฒนานำไปสู่การสร้างเอกลักษณ์ ที่เป็นลักษณะเด่นของตนเองที่ไม่เหมือนใคร เช่น ภาษา การแต่งกาย มารยาทและศาสนา ฯลฯ

3. มีระเบียบกฎเกณฑ์ควบคุมสมาชิกให้ในระเบียบและสมาชิกต้องปฏิบัติ เช่น กฎหมาย ข้อบังคับ ฯลฯ

6. สาเหตุที่ทำให้มนุษย์ต้องอยู่ร่วมกันเป็นสังคม

6.1. เพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานของตนเอง เพื่อการดำรงชีวิตอยู่ได้

6.1.1 ความต้องการทางชีวภาพ เป็นความต้องการในสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น อาหาร อากาศ ยารักษาโรค

6.1.2 ความต้องการทางกายภาพ เป็นความต้องการทางวัตถุ เช่น บ้าน เครื่องมือ เครื่องใช้และอุปกรณ์ต่างๆ

6.1.3 ความต้องการทางจิตวิทยา เป็นความต้องการทางจิตใจ เช่น ความรัก ความเห็นใจ ความเอื้ออาทร

6.1.4 ความต้องการทางด้านสังคม เป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ทำให้มีการถ่ายทอดวัฒนธรรมม เกิดการเรียนรู้ สะสมและสร้างสรรค์ ทำให้แตกต่างไปจาก***โลกโดยทั่วไป

6.2 เพื่อทำให้มนุษย์สมบูรณ์ จากการที่มนุษย์มีวัฒนธรรม ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์

6.3 เพื่อให้สามารถสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับตนเองและกลุ่ม วัฒนธรรมเป็นการรวบรวมสะสมความรู้และพัฒนาจนเกิดความเจริญก้าวหน้า สามารถถ่ายทอดและเผยแพร่ได้อย่างกว้างขวาง


บทที่ 2 โครงสร้างทางสังคม

1. ความหมายของโครงสร้างทางสังคม

โครงสร้างทางสังคม คือ ความสัมพันธ์ของกลุ่มคนหนึ่งที่มาอยู่ร่วมกันเป็นสังคม โดยมีบรรทัดฐานทางสังคมเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว

2. ลักษณะโครงสร้างทางสังคม

โครงสร้างทางสังคมมีลักษณะสำคัญ ดังนี้

1. มีคนจำนวนหนึ่งที่มีการติดต่อระหว่างกัน หรือ การกระทำระหว่างสังคม คือ บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ที่มีการติดต่อระหว่างกัน เช่น การคบค้าสมคม การขัดแย้งกัน ฯ

2. มีบรรทัดฐาน กฎเกณฑ์หรือระเบียบแบบแผน คือ เป็นแนวทางให้บุคคลในสังคมยึดถือร่วมกัน เพื่อให้การติดต่อระหว่างกันดำเนินไปด้วยดี

3. มีเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ คือ ความต้องการให้โครงสร้างของตนเองมีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับ มีความปลอดภัย เจริญก้าวหน้าในด้านต่างๆ ที่ให้ประโยชน์แก่สมาชิก

4. มีลักษณะเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงได้ คือ โครงสร้างทางสังคมนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาที่ดีขึ้นของสังคมพร้อมกัน

3. องค์ประกอบของโครงสร้างทางสังคม

องค์ประกอบของโครงสร้างทางสังคมประกอบด้วย 2 องค์ประกอบ คือ

1. การจัดระเบียบทางสังคม

การจัดระเบียบทางสังคม หมายถึง กลุ่มคนที่มีความเป็นระเบียบแบบแผนและมีกระบวนการจัดระเบียบภายในกลุ่ม

1.1 กลุ่มคนที่เป็นระเบียบ เป้นกลุ่มคนที่มาติดต่อกันตามหน้าที่และระเบียบกฏเกณฑ์

1.2 กระบวนการจัดระเบียบทางสังคม เป็นเรื่องคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ที่มีความสัมพันธ์กัน แต่ละคนจำเป็นต้องมีบรรทัดฐาน สถานภาพ และบทบาทของตน

- บรรทัดฐาน คือ แบบแผน กฎเกณฑ์ มาตรฐานในการปฏิบัติ

- สถานภาพ คือ เป็นตำแหน่งที่เราต้องรับผิดชอบได้จากการเป็นสมาชิกของกลุ่ม

- บทบาท คือ หน้าที่ที่ต้องทำตามสถานภาพที่เราได้รับ

หน้าที่ของการจัดระเบียบทางสังคม

1. สร้างระเบียบที่จำเป็นในการอยู่ร่วมกันเป็นสังคม

2. อบรมสั่งสอนระเบียบแบบแผนต่างๆ ให้สมาชิกมีความรู้ ความเข้าใจ รวมทั้งฝึกฝนให้เกิดความชำนาญ สามารถนำเอาไปใช้ได้

3. สั่งสมและรักษาระเบียบแบบแผนให้อยู่ยั่งยืนนาน

4. ปรับปรุงระเบียบแบบแผนให้เข้ากับยุสมัย

2. สถาบันทางสังคม

สถาบันทางสังคม หมายถึง กฎเกณฑ์หรือระเบียบแบบแผนของสังคม ที่เป็นแนวทางการประพฤติในสังคม และแต่ละสังคมมีความต้องการและความจำเป็นหลายอย่าง จึงจำเป็นต้องมีสถาบันทางสังคมหลายสถาบัน เช่น

2.1 สถาบันครอบครัว สนองความต้องการของมนุษย์ในด้านการกำเนิดบุตรและให้การอบรมสั่งสอนเลี้ยงดูสมาชิกใหม่

2.2 สถาบันการเมืองการปกครอง ควบคุมสังคมไม่ให้เกิดความไม่สงบ รักษาความเป็นระเบียบ ความเรียบร้อยในสังคม

2.3 สถาบันเศรษฐกิจ สนองความต้องการในด้านการผลิต การจำหน่ายจ่ายแจกและการบริการต่างๆ เพื่อให้มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ได้

2.4 สถาบันการศึกษา เป็นสถาบันที่ถ่ายทอดวัฒนธรรมของสังคมในทุกเรื่อง

2.5 สถาบันศาสนา ความเชื่อความศรัทธาของมนุษย์ต่อสภาพแวดล้อมรอบตัว สถาบันนี้จะควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ให้อยู่ในระเบียบ

หน้าที่ของสถาบันสังคม

1. ดูแลการเพิ่มหรือขาดของจำนวนสมาชิกในสังคม และให้การเลี้ยงดู ให้ความอบอุ่นแก่สมาชิก

2. ให้การศึกษาอบรมเกี่ยวกันการเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม รวมทั้งอาชีพที่ใช้ในการดำรงชีวิต

3. ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการสื่อสาต่างๆ เพื่อการดำรงชีวิตอยู่ในสังคม

4. ส่งเสริมและรักษาความเป็นระเบียบและความมั่นคงของสังคม

5. ผลิตสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิต

6. จัดหา ส่งเสริม ผลิตเครื่องเครื่องใช้ที่จำเป็นแก่การดำรงชีวิต และการพัฒนาชีวิตให้มีคุณภาพสูงขึ้น

7. ให้ความรู้และส่งเสริมเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยของสมาชิกในสังคม










บทที่ 3 การจัดระเบียบทางสังคม

1. องค์ประกอบของกลุ่มที่เป็นระเบียบ

1.1 การกระทำระหว่างสังคม (Social interaction) เป็นกระบวนการที่เสนอและสนองของบุคคลในกลุ่ม เช่น พูดคุย ซื้อขายสินค้า ฯลฯ

1.2 บรรทัดฐานทางสังคม (Social norms) หมายถึง แนวทางความประพฤติซึ่งเป็นที่ยอมรับของสังคม เช่น การปฏิบัติระหว่างพ่อแม่กับลูก ระหว่างครูกับศิษย์ ฯลฯ

สังคมจะสร้างสิ่งหนึ่งเพื่อให้มนุษย์ในสังคมปฏิบัติตามบรรทัดฐานทางสังคมอย่างเคร่งครัด คือ สิทธานุมัติทางสังคม (Social sanction) เป็นเครื่องมือ โดยการขู่ว่าจะลงโทษสำหรับผู้ละเมิดบรรทัดฐานหรือให้รางวัลแก่ผู้ยึดถือบรรทัดฐาน

1.3 เป้าหมาย กลุ่มทุกกลุ่มย่อมมีเป้าหมายหรือหน้าที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน หน้าที่เหล่านี้อาจกำหนดไว้อย่างชัดเจน หรืออาจเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร

2. ประเภทชองกลุ่มที่เป็นระเบียบ

2.1 กลุ่มสังคม คือ กลุ่มที่รู้จักกันเป็นส่วนตัว

2.2 ครอบครัว คือ กลุ่มที่ผูกพันด้วยสายเลือด

2.3 ชุมชน คือ กลุ่มที่อาศัยอยู่ในท้องที่หนึ่ง และอาศัยอยู่ในเกณฑ์ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ชุมชนชนบทและชุมชนเมือง

2.4 ชนชั้น คือ กลุ่มที่ยึดฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นหลัก

2.5 สมาคม คือ กลุ่มที่จัดตั้งขึ้นเพื่อปฏิบัติหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ

2.6 สังคม คือ กลุ่มขนาดใหญ่ที่มีวัฒนธรรม สามารถเลี้ยงตัวเองได้ และมีอำนาจเหนือกลุ่มอื่น

3. ความสัมพันธ์ของกลุ่มที่เป็นระเบียบ

3.1 ความสัมพันธ์แบบปฐมภูมิ ( Primary Groups) เป็นความสัมพันธ์แบบใกล้ชิดสนิทสนม เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ขาดไม่ได้ เป็นสิ่งที่ให้ความมั่นคงและความอบอุ่นทางด้านจิตใจของคนเรา

3.2 ความสัมพันธ์แบบทุติยภูมิ ( Secondary Groups) เป็นความสัมพันธ์กับคนจำนวนมาก แบบทางการ สมาชิกมักจะติดต่อกันตามสถานภาพ ความสัมพันธ์ดำเนินไปได้โดยไม่ต้องรู้จักกันเป็นส่วนตัว

4. กระบวนการจัดระเบียบทางสังคม

4.1 บรรทัดฐานทางสังคม (Social norms) คือ แบบแผน กฎเกณฑ์ ข้อบังคับหรือมาตรฐานในการปฏิบัติของคนในสังคม เป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับ เช่น บุตรต้องมีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา เป็นต้น

ประเภทของบรรทัดฐาน แบ่งได้ 3 ประเภท

1. วิถีชาวบ้านหรือวิถีประชา (Folkways) เป็นแนวทางปฏิบัติของทุกคนจนเกิดความเคยชินจน กลายเป็นชีวิตปกติของมนุษย์ เป็นการปฏิบัติด้วยความสมัครใจ ไม่มีการบังคับ ไม่มีบทลงโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืน เพียงแต่อาจจะถูกตำหนิ และวิถีประชาอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ เพื่อปรับเหมาะกับยุคสมัยนั้นๆ เช่น มารยามในการแต่งกาย มารยาทในการรับประทานอาหาร เป็นต้น

2. จารีต (Mores) ต่างกับวิถีประชาเพราะมีศีลธรรมเข้ามาเกี่ยวด้วย มีข้อห้ามและข้อควรกระทำ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อสวัสดิภาพของสังคม หากผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกตำหนิ ดูหมิ่นเหยียดหยามจากสังคม เช่น สามีต้องเลี่ยงดูเอาใจใส่ภรรยา ชายและหญิงต้องเข้าพิธีมงคลสมรสตามประเพณี เป็นต้น

3. กฎหมาย (Laws) เป็นข้อบังคับเพื่อควบคุมคนในสังคมให้มีความเป็นระเบียบ มีการบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษร หากผู้ใดฝ่าฝืนย่อมถูกลงโทษตามที่กำหนดไว้ เป็นสิ่งจำเป็นในสังคมใหญ่ เพราะการใช้วิถีประชาหรือจารีตไม่อาจให้หลักประกันความเป็นระเบียบของสังคมได้

3.2 สถานภาพ (Status) เป็นสิทธิและหน้าที่ของสมาชิกภายในกลุ่ม ใช้ในการติดต่อกับผู้อื่นและสังคมส่วนรวม กำหนดว่าบุคคลนั้นมีหน้าที่อะไรและควรจะปฏิบัติอย่างไร

ประเภทของสถานภาพ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

1. สถานภาพที่ติดตัวมา คือ สถานภาพที่มีมาตั้งแต่เกิด

- ติดตัวมาหรือหรือธรรมชาติกำหนด คือ เกิดเป็นหญิง เป็นชาย เป็นเด็ก ฯ

- สังคมกำหนด คือ เด็กต้องทำงานเบาๆ ผู้ใหญ่ต้องทำงานหนัก ฯ

2. สถานภาพที่ได้มาภายหลังหรือได้มาโดยความสามารถ เป็นตำแหน่งที่ต้องดิ้นรนขวนขวายด้วยความสามารถและสติปัญญาของตนเอง

3.3 บทบาท (Role) คือ การปฏิบัติตามหน้าที่ตามสถานภาพที่ได้รับ เช่น พ่อกับแม่มีบทบาทที่เลี้ยงดูลูก นักเรียนมีบทบาทคือเรียนหนังสือ

หมายเหตุ การปฏิบัติตามบทบาทหนึ่งอาจจะขัดกับอีกบทบาทหนึ่ง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ เพราะบทบาทแต่ละบทบาทจะถูกคาดหวังให้ปฏิบัติ

4. กระบวนการขัดเกลาทางสังคม

กระบวนการขัดเกลาทางสังคม คือ กระบวนการทางสังคมที่สมาชิกได้เรียนรู้ ได้รับการฝึกฝน เพื่อให้เป็นสมาชิกที่ดีของกลุ่ม และพัฒนาบุคลิกภาพของตนให้เป็นที่ยอมรับของสังคม และมีการถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปอีกรุ่นหนึ่งได้ โดยใช้เครื่องมือให้การขัดเกลาทางสังคม 3 สิ่ง คือ บรรทัดฐาน ค่านิยม และ ความเชื่อ

4.1 วิธีขัดเกลาทางสังคม

- การขัดเกลาโดยตรง เป็นการบอกว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด แนะแนวทางในการปฏิบัติตัว เพื่อให้สามารถวางตัวให้ถูกต้อง

- การขัดเกลาโดยอ้อม ให้บุคคลนั้นมีประสบการณ์เองจากการสังเกต เรียนรู้จากการระทำของผู้อื่น

4.2 พื้นฐานของกระบวนการขัดเกลาทางสังคม

4.2.1 มนุษย์จะไม่มีสัญชาตญาณ มนุษย์จะต่างกับ***โดยไม่สามารถใช้สัญชาตญาณในการช่วยตัวเอง

4.2.2 มนุษย์ต้องพึ่งพาผู้อื่นในวัยเด็ก ยิ่งมนุษย์ต้องเรียนรู้กฎระเบียบมากเท่าไรก็ต้องพึงพาผู้อื่นนานเท่านั้น เช่น ทารกนั้นต้องได้รับการคุ้มครอง เลี้ยงดู การอบรมจากผู้อื่น

4.2.3 มนุษย์มีความสามารถในการเรียนรู้มาก ยิ่งโตมากก็จะเรียนรู้มาก จึงทำให้การขัดเกลาได้ผลตามที่สังคมคาดหวัง

4.2.4 มนุษย์ใช้ภาษาสื่อสารในการขัดเกลา เพื่อถ่ายทอดความคิด ความเข้าใจ ความเชื่อ ความรู้ และแบบความประพฤติในกลุ่มมนุษย์

4.3 ความมุ่งหมายของกระบวรการขัดเกลาทางสังคม

4.3.1 ปลูกฝังความมีระเบียบวินัย เพื่อให้สมาชิกมีแบบแผนความประพฤติตามที่กลุ่มกำหนด เป็นการสละความพอใจในปัจจุบัน เพื่อผลประโยชน์ในวันข้างหน้า เช่น นักเรียนไม่ชอบการสอบ เพราะไม่ต้องการดูหนังสือ อยากเที่ยวเล่นมากกว่า แต่ถ้าไม่ดูหนังสือก็จะสอบตก เป็นต้น

4.3.2 ปลูกฝังความมุ่งหวัง จะช่วยให้สมาชิกมีกำลังใจที่จะทำตามระเบียบวินัยต่างๆ

4.3.3 สอนให้รู้จักแสดงบทบาทของตน อย่างเหมาะสมตามกาละเทศะและโอกาสต่างๆ เช่น นักเรียนต้องใฝ่หาความรู้ แพทย์ต้องรักษาคนไข้ ฯลฯ

4.3.4 สอนให้เกิดความชำนาญหรือทักษะ ที่จะร่วมใช้กับผู้อื่น จะเรียนรู้ด้วยการลอกเลียนแบบสิ่งที่เห็นเป็นประจำ

4.4 ตัวแทนที่ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนขัดเกลาทางสังคม

4.4.1 ครอบครัว มีหน้าที่ให้การอบรมสั่งสอนสมาชิกมากที่สุด เนื่องจากสถาบันนี้เป็นสถาบันแห่งแรกที่เด็กได้รับการอบรมสั่งสอน

4.4.2 กลุ่มเพื่อน บุคคลจะได้รับการขัดเกลาจากกลุ่มเพื่อนอายุไล่เลี่ยกัน และจะมีการสังเกตและเอาแบบอย่าง

4.4.3 ครูอาจารย์ มีหน้าที่อบรมสั่งสอนด้านวิชาการอย่างเป็นทางการและมีผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของเด็กด้วย

4.4.4 กลุ่มเพื่อนร่วมอาชีพ ถ้าจะยึดอาชีพนั้นและต้องการให้เป็นที่ยอมรับ จะต้องเรียนรู้แบบแผนต่างๆของกลุ่มหใม่

4.4.5 สื่อมวลชน มีอิทธิพลมากต่อกระบวนขัดเกลาสังคม

หมายเหตุ การะบวนการขัดเกลาทางสังคม ทุกคนจะต้องเจอตั้งแต่เด็กจนเป็นผู้ใหญ่ และเป็นวิธีถ่ายทอดทางสังคม ทำให้บุคคลสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้และดำเนินวิถีชีวิตอย่างเป็นระเบียบ





บทที่ 4 สถาบันทางสังคม

1. สถาบันทางสังคม (Social Institution)

คือ กระบวนการที่มนุษย์ในสังคมได้จัดตั้งขึ้นอย่างมีระเบียบแบบแผน เพื่อสนองความต้องการของสังคม

2. องค์ประกอบของสถาบันทางสังคม

2.1 องค์การทางสังคม คือ กลุ่มคนที่จัดระเบียบแล้ว

- สถานภาพ คือ ตำแหน่งต่างๆที่ได้จากการเป็นสมาชิกของกลุ่ม เช่น สถาบันครอบครัวก็จะมี บิดา มารดา บุตร

- บทบาท คือ หน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามสถานภาพ เช่น สถานบันครอบครัว มีหน้าที่อบรมสั่งสอนอบรมบุตร

- การควบคุมทางสังคม คือ การควบคุมให้คนยอมรับปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของกลุ่ม

- การจัดระเบียบสูงต่ำทางสังคม คือ การจัดระดับความสำคัญของบุคคลตามสถานภาพ

- ค่านิยม คือ สิ่งที่กลุ่มเห็นว่าควรปฏิบัติ

2.2 หน้าที่ของสถาบันทางสังคม

- สนองความต้องการของมนุษย์ในสังคม เช่น สถาบันการศึกษา มีหน้าที่ให้การศึกษาแก่มนุษย์ในสังคม

- เป็นแหล่งพบปะกันระหว่างสมาชิกในสังคม

- เป็นเครื่องมือควบคุมคนในสังคม โดยใช้ระเบียบแบบแผนของสถาบัน

3. ประเภทของสถาบัน

1. สถาบันครอบครัว

1.1 องค์การทางสังคม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ครอบครัวเดี่ยวหรือครอบครัวหน่วยกลาง (Nuclear Family) คือ ครอบครัวที่ประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูก และ ครอบครัวขยาย (Extended Family) คือ ครอบครัวที่ประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูก และ วงศาคณาญาติ มีองค์ประกอบดังนี้

1. สถานภาพ คือ มีตำแหน่งต่างๆ คือ พ่อ แม่ ลูก ฯ

2. บทบาท คือ พ่อ แม่ มีหน้าที่เลี้ยงดู อบรม สั่งสอนลูก ลูกมีหน้าที่ตั้งใจเล่าเรียนหนังสือ

3. การควบคุมทางสังคม คือ ควบคุมให้อยู่ในกรอบประเพณีและศีลธรรมอันดีงาม ทำผิดก็มีการลงโทษ ทำดีก็ให้รางวัล

4. การจัดระดับสูงต่ำทางสังคม คือ พ่อ แม่ มีฐานะทางสังคมสูงกว่า ลูก พี่สูงกว่าน้อง

5. ค่านิยม คือ ลูกควรมีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่

1.2 หน้าที่

1. สร้างสมาชิใหม่มาทดแทนสมาชิกที่ตายไป ถ้าไม่มีการสมาชิกใหม่ สังคมนั้นก็จะหายไป

2. เลี้ยงดูและให้ความอบอุ่นทั้งร่างกายและจิตใจแก่สมาชิกใหม่

3. อบรม สั่งสอนให้รูจักกฎระเบียบของสังคมและปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมนอกบ้านได้

4. กำหนดสถานภาพว่าเราเป็นใคร เช่น เป็นลูกครู ลูกแพทย์ เป็นหญิงเมื่อเปลี่ยนนามสกุล ฯ

5. บำบัดความต้องการทางเพศ เช่น ความต้องการมีบุตร ความต้องการที่จะสมรส ฯ

1.3 แบบแผนปฏิบัติ คือ แนวทางในการปฏิบัติต่อกันในสถาบันครอบครัว เช่น กฎหมายครอบครัว การผิดสัญญาหมั้น เงื่อนไขการสมรส ฯ

2. สถาบันการเมืองการปกครอง

สถาบันการเมืองการปกครองนั้นจะมีฐานะทางสังคมเหนือกว่าสถาบันอื่นๆ มีทั้งอำนาจในการนำ ประสาน ปกครองและค้ำจุนสถาบันอื่นๆ เรามีสถาบันการเมืองการปกครองเพื่อช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ช่วยวางแผนนโยบายต่าง ให้หลักประกันเสรีภาพของแต่ละบุคคลให้เท่าเทียมกัน เพื่อความมั่นคงต่อชีวิตของบุคคลในการดำรงชีวิตในสังคม แบบแผนของการปฏิบัติของสถาบันการเมืองการปกครองเกี่ยวกันเรื่องความมั่นคงและความปลอดภัยของสังคม

2.1 องค์การทางสังคม

1. สถานภาพ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัด ฯ

2. บทบาท นายกรัฐมนตรีมีหน้าที่ควบคุมดูแลคณะรัฐมนตรี รัฐมนตรีดูแลกระทรวงในความรับผิดชอบ ฯ

3. การควบคุมทางสังคม ทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อความสงบสุขของสังคม

4. การจัดระดับความสูงต่ำทางสังคม เช่น นายกรัฐมนตรีมีฐานะทางสังคมสูงกว่ารัฐมนตรี ฯ

5. ค่านิยม คือ ความยุติธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต การปฏิบัติตามกฎหมาย การเป็นพลเมืองดี

2.2 หน้าที่ของสถาบันการเมืองการปกครอง

1. ระงับความขัดแย้งระหว่างบุคคลที่เกิดขึ้นเสมอในสังคม

2. คุ้มครองบุคคลให้ปลอดภัย

3. รักษาความสงบเรียบร้อย ส่งเสริมความมั่นคงและสวัสดิการทางสังคม

ปัจจุบันนี้หน้าที่ของสถาบันการเมืองการปกรองมีแนวโน้มดังนี้

1. แก้ไขปัญหาของประชาชนมากขึ้น

2. ยุติความขัดแย้งต่างๆ ต้องทำให้สังคมดำเนินไปได้ด้วยดี และตัดสินปัญหาต่างๆ

3. จะต้องใช้ความรู้ หลักวิชา และเหตุผล เพื่อเป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาด้านการปกครอง

2.3 แบบแผนการปฏิบัติ

จะมีกฎหมายเป็นแนวทางในการปฏิบัติ เช่น ถ้าฆ่าคนตาย มีโทษตั้งแต่ประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15 ปี หรือแม้ไม่เจตนาที่จะฆ่าใคร มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 25 ปี ถ้าทำร้ายร่างกาย มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4000 บาท ทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บสาหัส ต้องได้รับโทษตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 10 ปี

3. สถาบันเศรษฐกิจ

สถาบันเศรษฐกิจ เป็นสถาบันที่เกี่ยวกันการดำรงชีวิตของมนุษย์ ด้านการผลิตของใช้ การแลกเปลี่ยน การให้บริการต่างๆ ระหว่างสมาชิกของสังคม

3.1 องค์การทางสังคม คือ กลุ่มคนที่ทำงานในธนาคาร บริษัท ห้างร้าน

1 สถานภาพ ผู้จัดการ นายธนาคาร

2. บทบาท นายธนาคารมีหน้าที่จัดการเกี่ยวกับการเงินของธนาคารอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

3. การควบคุมทางสังคม นายธนาคารต้องให้เงิน***้และรับฝากเงินตามอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้

4. การจัดระดับสูงต่ำทางสังคม นายธนาคารมีฐานะทางสังคมสูงกว่าพนักงานในธนาคาร

5. ค่านิยม มีความซื่อสัตย์ การทำงานให้มีประสิทธิภาพ การร่วมมือประสานงานกัน ความยืดหยุ่น การปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ

3.2 หน้าที่ของสถาบันเศรษฐกิจ

1. สนองความต้องการทางเศรษฐกิจ เช่น ผลิต แบ่งปันวัตถุหรือบริการตามที่มนุษย์ต้องการ

2. ให้ความสะดวกแก่มนุษย์ในการใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เช่น ระบบเงินเชื่อ การใช้เงินตรา ฯ

3. พัฒนาและสร้างความเจริญก้าวหน้าในทางเศรษฐกิจ เพื่อความอุดมสมบูรณ์และความมั่นคงในด้านนี้แก่สมาชิกในสังคม

4. ช่วยเหลือในการบริโภคให้เพียงพอและไปทั่วถึงให้มากที่สุด

3.3 แบบแผนการปฏิบัติ

1. ทรัพย์สิน เป็นสิ่งมีค่าที่สามารถเปลี่ยนมือหรือถือกรรมสิทธิ์ได้ อาจจะเป็นสิ่งที่จับต้องได้หรือจับต้องไม่ได้

2. สัญญา เป็นสิ่งที่ช่วยให้ทรัพย์สินเปลี่ยนมือกันอย่างมีระเบียบและยังเป็นหลักฐานยืนยันว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สิน

3. อาชีพ เป็นสิ่งที่กำหนดบทบาทเศรษฐกิจของประชาชน

4. การแลกเปลี่ยน มีเงินเป็นสื่อในการแลกเปลี่ยน เป็นมาตรฐานในการแลกปลี่ยนอกมาในรูปเงินตรา เพื่อสะดวกในการดำรงชีพในสังคม

5. ตลาด มี อาชีพ ทรัพย์สิน สัญญา ประกอบเข้าด้วยกัน ราคาของสิ่งของขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของการเสนอและสนอง ถ้ามีการเสนอราคาสูง ทำให้ราคาของสิ่งอขงสูงด้วยเช่นกัน และสินค้าราคาสูงก็ขึ้นอยู่กับปริมาณกาสนองของประชาชนด้วยเช่นกัน

4. สถาบันการศึกษา

เป็นสถาบันที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ ความคิดใหม่ให้แก่สมาชิกเพื่อให้สมาชิกมีความรู้ ความสามารถ มีวัฒนธรรมและคุณธรรม ส่วนการศึกษา คือ การสร้างสมและการถ่ายทอดประสบการณ์ของมนุษย์จากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งเพื่อแก้ปัญหาและมีความเจริญทางด้านพุทธิปัญญา จิตใจ อารมณ์ สังคม และพลานามัย และการศึกษานั้นเป็นการเรียนเพื่อให้เกิดความคิด และนำไปพัฒนาความสามารถของบุคคล

4.1 องค์การทางสังคม

1. สถานภาพ ครู นักเรียน อาจารย์ใหญ่ เป็นต้น

2. บทบาท ครู อาจารย์มีหน้าที่อบรมสั่งสอนให้ความรู้แก่นักเรียนนักศึกษา

3. การควบคุมทางสังคม นักเรียนต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของโรงเรียน

4. การจัดระดับความสูงต่ำทางสังคม ครูอาจารย์มีฐานะสูงกว่านักเรียนนักศึกษา

5. ค่านิยม ความยุติธรรม ความรับผิดชอบ ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อขงกลุ่ม ให้คุณค่าการศึกษาระดับสูง ความซื่อสัตย์ รักความก้าวหน้า

4.2 หน้าที่ของสถาบันการศึกษา

1. ให้ความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่างๆแก่สมาชิก เพื่อเป็นรากฐานในการพัฒนาสติปัญญา ความรู้สึกนึกคิดในทางที่ดี

2. พัฒนาให้บุคคลมีคุณธรรม จริยธรรม

3. สอนแลฝึกอาชีพของบุคคลเพื่อประกอบอาชีพในอนาคต

4. ปลูกฝังให้บุคคลมีความรักและสงเสริมในศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามให้คงอยู่ยืนยาว

5. เป็นแหล่งความรู้และวิทยาการที่เอื้ออำนวยต่อชุมชนและสังคม

4.3 แบบแผนปฏิบัติ

มีการแบ่งระดับการศึกษาแนวโรงเรียนเป็น 4 ระดับ คือ ระดับก่อนประถมศึกษา ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา และระดับอุดมศึกษา ส่วนในระดับอุดมศึกษา แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ การศึกษาต่ำกว่าระดับปริญญาตรี การศึกษาระดับปริญญาตรี และการศึกษาสูงกว่าระดับปริญญาตรี

5. สถาบันศาสนา

สถาบันศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม และก่อให้เกิดแบบความประพฤติ ประกอบด้วย

1. ความเชื่อ ศาสนาทุกศาสนาย่อมต้องการให้บุคคลมีความศรัทธาและมีความเชื่อในศาสนา เหตุและการพิสูจน์ถือว่าเป็นสิ่งที่สนับสนุนความเชื่อ และมักจะเน้นความเชื่อจักรวาล ธรรมชาติ มนุษย์กับหระเจ้า

2. ความรู้สึกทางอารมณ์ ศาสนาเชื่อมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้ามาเกี่ยวพันกับอารมณ์ เช่น ความรัก ความกลัว เป็นต้น ความรู้สึกทางอารมณ์จะเป็นลักษณะใดจะขึ้นอยู่กับว่าศาสนานั้นสอนอย่างไร

3. พฤติกรรมที่แสดงออก ศาสนามีส่วนสำคัญในการสร้างแบบแผนพฤติกรรม ว่าสิ่งไหนดีหรือไม่ดี สิ่งไหนควรกระทำหรือไม่ และแล้วแต่ศาสนาว่ามีแนวทางพฤติกรรมเป็นอย่างไร

5.1 องค์การทางสังคม

1. สถานภาพ พระพุทธเจ้า พระสงฆ์ เป็นต้น

2. บทบาท พระสงฆ์สอนให้คนทำความดี ละเว้นความชั่ว

3. การควบทางสังคม พระสงฆ์ต้องทำตามกฎของสงฆ์และระเบียบของวัด

4. การจัดระเบียบสูงต่ำทางสังคม เจ้าอาวาสมีฐานะทางสังคมสูงกว่าพระ

5. ค่านิยม มีศีลธรรม ทำความดีละเว้นความชั่ว มีเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นต้น

5.2 หน้าที่ของสถาบันศาสนา

1. เชื่อกันว่าศาสนาสามารถปกป้องภัยพิบัติต่างๆได้ และเพิ่มพูนความอุดมสมบูรณ์

2. เป็นพื้นฐานสำคัญของอำนาจรัฐ เพราะมีบางที่ที่อำนาจรัฐขึ้นอยู่กับประมุขทางศาสนา

3. ก่อให้เกิดศีลธรรมทางสังคม และจริยธรรม ซึ่งเป็นเครื่องกำหนดแนวทางและนโยบายของสังคม

4. เป็นแบบอย่างในการประพฤติดี เช่น ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเมตตา เป็นต้น

5.3 แบบแผนปฏิบัติ

พระสงฆ์มีกฎข้อบังคับ 227 ข้อที่ต้องปฏิบัติ ฆราวาสมีมีศีล 5 และ ศีล 8 และยังหลักธรรมต่างๆ เช่น อริยสัจ 4 อิทธิบาท 4 เป็นต้น


ขอบคุณ:http://board.dserver.org/t/tman/00000133.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น